พอผมตบท้ายไว้ว่าจะลดความสงสัยของท่านให้เหลือน้อยที่สุด ท่านก็เริ่มสงสัยเพิ่มขึ้นมาใช่ไหมล่ะ? ว่าผมจะเขียนกันยังไง ในขณะที่ทั้งบ้านทั้งเมืองเมื่อพอจับเรียนโหราศาสตร์ไทยแล้ว เริ่มสงสัยกันตั้งแต่หน้าแรก เพราะพอกางตำราโหราสาดขึ้นมาดู มันไม่เหมือนกันสักราย เอาเถอะนั่นมันเป็นเรื่องของบรรดาท่านโหราจารย์ที่โด่งดังทั้งหลาย จะเอาผมเข้าไปเทียบประเดี๋ยวผมจะลงนรก เปล่า ๆ
เรามาว่ากันเรื่องของเราดีกว่า เบื้องต้นของการเรียน ก่อนจะเข้าไปถึงระหัสของดวงดาวและการแบ่งส่วนของโลก ท่านต้องจำคำต่าง ๆ เหล่านี้ให้ดี เช่น v กุมลัคน์หรือกุมลัคนา หมายถึงเมื่อเราหาลัคนาได้แล้วว่าอยู่ในราศีใด มีดาวอะไรบ้างอยู่ในราศีเดียวกันนั้น เขาเรียกกันว่ากุมลัคน์ ตัวอย่างเช่นคนราศีเมษ ก็ย่อมต้องมีดาวอาทิตย์อยู่ในราศีเมษด้วย ถ้าในแบบ ๑๐ ลัคน์ เขาอ่านว่าเจ้าชะตาคนนั้น มีลัคนาสถิตราศีเมษ มีดาวอาทิตย์ (๑) กุมลัคน์ ถ้ามีดาวจันทร์ (๒) อยู่ด้วย ก็เรียกว่าจันทร์กุมลัคน์ ถ้ามีดาวอังคาร (๓) อยู่ตรงนั้นด้วยก็เรียกว่าอังคารกุมลัคน์ v ทีนี้ถ้านับจากราศีเมษ ๑ ไปทางซ้ายมือทวนเข็มนาฬิกาไปที่ราศีที่ ๒(จาก ๑๒.๐๐ – ๑๑.๐๐- ๑๐.๐๐ น.) แล้วตรงนั้นมีดาวอีก จะเป็นดาวอะไรก็ตาม เขาเรียกว่าดาว….เป็นสองแก่ลัคน์หรือนำหน้าลัคน์ หรือถ้าเป็นดวงชะตาเรียบร้อยแล้ว มีคนยื่นมาให้ดู เขาเรียกว่าดาว….ในเรือนกะดุมพะ (คนละอย่างกับดาวเจ้าเรือนกะดุมพะ) กรุณาอย่าสับสน v ถ้านับจากราศีเมษไปทางเดียวกันอีกนั่นแหละ คือทวนเข็มนาฬิกาไปถึงราศีที่ ๓ พบดาวอะไรอยู่ตรงนั้น ก็ดาวนั้นเป็นสามแก่ลัคน์ หรือโยกหน้าลัคน์ หรืออยู่ในเรือนสหัชชะ (คนละอย่างกับดาวเจ้าเรือนสหัชชะนะครับ) v ทีนี้ถ้านับจากราศีเมษต่อไปอีกเป็น ๔ พบดาวอะไรอยู่ตรงนั้น ก็ดาวนั้นแหละเป็นสี่แก่ลัคน์ หรือจัตุเกณฑ์ หรือเรียกว่าสถิตอยู่ในเรือนพันธุ (ไม่ใช่ดาวเจ้าเรือนพันธุ) v ถ้านับจากราศีเมษไปถึงราศีที่ ๕ พบดาวอะไรอยู่ตรงนั้น เท่ากับดาวนั้นเป็นห้าแก่ลัคน์ หรือตรีโกณแก่ลัคน์ หรืออยู่ในเรือนปุตตะของลัคน์ (ไม่ใช่ดาวเจ้าเรือนปุตตะ) v ถ้านับจากราศีเมษต่อไปจนถึงราศีที่ ๖ พบดาวอะไรอยู่ตรงนั้น ดาวนั้นเป็นหกแก่ลัคน์ หรืออยู่ในเรือนอริแก่ลัคน์ (ไม่ใช่ดาวเจ้าเรือนอริ) v ถ้านับจากราศีเมษต่อไปจนถึงราศีที่ ๗ พบดาวอะไรอยู่ตรงนั้น ดาวนั้นเป็นเจ็ดแก่ลัคน์ หรือเล็งลัคน์ หรืออยู่ในเรือนปัตตานิ (ไม่ใช่ดาวเจ้าเรือนปัตตานิ) v ถ้านับจากราศีเมษต่อไปจนถึงราศีที่ ๘ พบดาวอะไรอยู่ตรงนั้น ดาวนั้นก็เป็นแปดแก่ลัคน์ หรือดาวนั้นอยู่ในเรือนมรณะแก่ลัคน์ (ต่างกันดาวเจ้าเรือนมรณะ) v ถ้านับจากราศีเมษต่อไปจนถึงราศีที่ ๙ เรียกว่าดาวนั้นเป็นเก้าแก่ลัคน์ หรือดาวอยู่ในเรือนศุภะ หรือตรีโกณแก่ลัคน์ v ถ้านับจากราศีเมษต่อไปจนถึงราศีที่ ๑๐ พบดาวอะไรอยู่ตรงนั้น ก็ดาวนั้นเป็นสิบแก่ลัคน์ หรือดาวนั้นสถิตอยู่ในเรือนกรรมะ ถ้าเป็นเรือนที่สิบของราศีเมษ พฤษภ สิงห์ มีเรียกอีกอย่างว่าดาวได้ตำแหน่งปัศวเกณฑ์ v ถ้านับจากราศีเมษต่อไปจนถึงราศีที่ ๑๑ พบดาวอะไรอยู่ตรงนั้น ก็ดาวนั้นเป็นสิบเอ็ดแก่ลัคน์ หรือโยกหลังลัคน์ หรืออยู่ในเรือนลาภะของลัคน์ v ถ้านับจากราศีเมษต่อไปจนถึงราศี ๑๒ สุดท้าย พบดาวอะไรอยู่ตรงนั้น ดาวนั้นเป็นสิบสองแก่ลัคน์หรือวินาสน์ลัคน์ v แต่ถ้าเป็นดาวจรบนท้องฟ้า โคจรเข้ามาตรงกับราศีที่ลัคนาอยู่ เราไม่เรียกว่าดาวนั้น ๆ โคจรมากุมลัคน์ ต้องเรียกว่าทับลัคน์ v เนื่องจากดาวในท้องฟ้ามักมีการโคจรหรือเดินจากราศีนี้ไปราศีนั้น เร็วไปบ้าง ช้าไปบ้างหรือถอยหลังไปบ้างย่อมมีการเรียกต่างกันไป เช่นเดินหน้าเร็วผิดปกติ เรียกว่าเสริด ถ้าถอยหลังเรียกว่าพักร์ ถ้าเดินหรือโคจรอยู่กับที่เรียกว่ามณฑ์
คามจริงคำศัพท์ที่เป็นภาษาของโหราสาดมีอีกมาก แต่ขอบอกเพียงเท่านี้ก่อน ขืนนำมาบอกทั้งหมด เดี๋ยวท่านจะรับไม่ไหว และที่บอกมานี้ท่านอย่าว่าเป็นเรื่องหญ้าปากคอกเป็นอันขาด ท่านต้องจำให้ได้ และต้องเข้าใจว่านี่เป็นเพียงเฉพาะพื้น ๆ เท่านั้น ถ้าไม่ทำความเข้าใจ หรือตระหนักว่าเป็นพื้นฐานส่วนสำคัญยิ่ง ต่อไปท่านก็จะงง ๆ ตอนที่โหรกับโหรคุยกันนั่นเอง เมื่อคุณฟังภาษาโหรไม่ออกคุณก็จะเป็นแค่โหน คือยังห่างไกลความเป็นโหรนั่นเอง และถ้าท่านได้อ่านตำราชุดนี้ของผมจบแล้วเป็นได้แค่โหน ขอได้โปรดทราบว่า ผมจะรู้สึกเสียใจเป็นอย่างยิ่ง !!! |