จากพระราชปณิธานในหลวงร.9 สู่”ยาชีววัตถุ “หนึ่งเดียวในอาเซียน โดย” บริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ ” การพัฒนาเพื่อการอยู่ดีกินดีของประชาชนนั้น อย่าไปนึกหวังกำไรหรือผลตอบแทนแต่อย่างเดียว ทำอะไรต้องลงทุนลงแรงและปัจจัยบางอย่างเสียก่อนเพื่อสร้างผลกำไรในอนาคต คือ ความอยู่ดีมีสุขของประชาชน ดังพระราชดำรัสความตอนหนึ่งว่า

 จากพระราชปณิธานในหลวงร.9 สู่”ยาชีววัตถุ “หนึ่งเดียวในอาเซียน โดย” บริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ “

การพัฒนาเพื่อการอยู่ดีกินดีของประชาชนนั้น อย่าไปนึกหวังกำไรหรือผลตอบแทนแต่อย่างเดียว ทำอะไรต้องลงทุนลงแรงและปัจจัยบางอย่างเสียก่อนเพื่อสร้างผลกำไรในอนาคต คือ ความอยู่ดีมีสุขของประชาชน ดังพระราชดำรัสความตอนหนึ่งว่า

“…ถ้าหากว่าอยากให้ประชนอยู่ดีกินดี รัฐจะต้องลงทุน ต้องสร้างโครงการซึ่งต้องใช้เงินจำนวนเป็นร้อยเป็นพันเป็นหมื่นล้าน. ถ้าทำไปก็เป็น “loss” เป็นการเสีย เป็นการขาดทุน เป็นการจ่าย คือรัฐบาลต้องตั้งงบประมาณรายจ่าย ซึ่งมาจากเงินของประชาชน. แต่ว่าถ้าโครงการดี ในไม่ช้าประชาชนก็จะได้กำไร
จะได้ผล. ราษฎรจะอยู่ดี กินดีขึ้น จะได้ประโยชน์ไป ส่วนรัฐบาลไม่ได้อะไร. แต่ข้อนี้ถ้าดูให้ดี ๆ จะเห็นว่า
ถ้าราษฎรอยู่ดีกินดี มีรายได้ รัฐบาลก็จะเก็บภาษีได้สะดวก ไม่มีการหนีภาษี เพราะเมื่อมีรายได้ดีขึ้น เข้าก็สามารถเสียภาษีได้มากขึ้น…”

image_big_5e4e44de8e4f6

ต้องยอมรับว่ายังมีคนไทยอีกจำนวนมาก ที่เป็นโรคร้ายแรงอย่างโรคมะเร็ง ยังไม่สามารถเข้าถึงยาที่มีคุณภาพในการรักษาที่ดี โดยเฉพาะยาที่เป็น”ชีววัตถุ” (Biopharmaceuticals)ที่ให้ผลการรักษาทีดีกว่ายาประเภทอื่น  ในอดีตประเทศไทยยังไม่มีองค์ความรู้และความสามารถในการผลิตยาชนิดนี้ ทำให้ต้องนำเข้าซึ่งยาดังกล่าวมีราคาแพงมาก คนที่ไม่มีกำลังทางเศรษฐกิจจึงไม่สามารถเข้าถึงยาชนิดนี้ได้
พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงเห็นปัญหาดังกล่าว  และทรงให้ความสำคัญกับปัญหาสุขภาพของคนไทย ดังที่ทรงพระราชทานพระราชดำรัส ในเรื่องสุขภาพว่า  “ถ้าคนเรามีสุขภาพเสื่อมโทรม ก็จะไม่สามารถพัฒนาชาติได้ เพราะทรัพยากรที่สำคัญของประเทศชาติ ก็คือ พลเมือง นั่นเอง”  และหลังจากทรงพัฒนาความเป็นอยู่ของประชาชนที่ทำให้มีโครงการพระราชดำริมากมายหลายพันโครงการ จึงทรงมองว่าโครงการที่เกี่ยวกับการพัฒนาสุขภาพของคนไทยก็มีความสำคัญแม่แพ้กัน และเรื่องของยา นั้นนอกจากจะช่วยให้คนไทยเข้าถึงยาแล้ว ยังสร้างความมั่นคงทางยาของประเทศด้วย
ทำให้เมื่อ 10 ปีก่อน สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ในนามของบริษัททุนลดาวัลด์ จำกัด  จึงได้ลงทุนก่อตั้งบริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ บริษัท ขึ้นเมื่อปี 2552 มูลค่า5,000 ล้านบาท เพื่อผลิตยาชีววัตถุขึ้นเป็นแห่งแรกของประเทศไทย โดยได้ร่วมมือกับประเทศคิวบา ซึ่งถ่ายทอดองค์ความรู้การผลิตยาชีววัตถุให้กับบริษัท  โดยปัจจุบันประเทศคิวบาได้กลายเป็นผู้ถือหุ้นในสัดส่วน 30%
นับจากปี 2562  บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ สามารถผลิต”ยาชีววัตถุ”ได้ 3ชนิด   โดยยาตัวแรกที่ออกสู่ตลาดแล้วคือ ยาเพิ่มเม็ดเลือดแดง ให้กับผู้ป่วยที่มีอาการไตวาย ยาตัวที่ 2 คือ ยาเพิ่มเม็ดเลือดขาว ให้กับผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ได้รับเคมีบำบัด ซึ่งมีความเสี่ยงสูงในการติดเชื้อ และขณะนี้ บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ กำลังผลิตยาเพิ่มเม็ดเลือดขาว  ที่ผู้ป่วยสามารถใช้่แค่เดือนละครั้ง  หรือเป็นยาที่มีประสิทธิภาพมากกว่ายาเพิ่มเม็ดเลือดขาวที่ผลิตในเวอร์ชั่นแรก ซึ่งต้องให้ยาสัปดาห์ละครั้ง  โดยยาตัวที่3 นี้อยู่ระหว่างการวิจัยทางคลินิก และวิจัยในคน โดยทำการวิจัยที่ประเทศออสเตรเลีย เนื่องจาก บริษัท มีแผนที่จะนำยาตัวที่3นี้ ไปจดทะเบียนจำหน่ายในกลุ่มประเทศอียู   ซึ่งทางยุโรปมีข้อกำหนดให้ยาที่จะมาขายในภาพพื้นยุโรป จะต้องทำการทดลองวิจัยกับคนผิวขาวเท่านั้น จึงจะสามารถขายได้     โดยผลิตภัณฑ์ยาตัวที่ 3 จะวางจำหน่ายในปี 2565 นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังผลิตยาเพื่อสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอีกด้วย  เช่น ยาที่เพิ่มเม็ดเลือดแดงให้กับสัตว์ที่เป็นโรคไต เป็นต้น

image_big_5e4e44b9a6131

จากซ้ายไปขวา    ดร.ทรงพล  ดีจงกิจ,นวลพรรณ ล่ำซำ ,  อภิพร ภาษวัธน์และธวัชชัย พิเศษกุล

ดร.ทรงพล  ดีจงกิจ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด กล่าวว่า ยาชีววัตถุนั้นเป็นยาที่ผลิตจากเชื้อแบคทีเรีย โดยใช้เทคโนโลยีชีวภาพขั้นสูง ในการสกัดสารสำคัญจากแบคทีเรียให้มาเป็นยา และเนื่องจาก ร่างกายมนุษย์เรา ประกอบด้วยน้ำ และโปรตีน ยาชีววัตถุเองก็เป็นโปรตีน  ที่จะทำงานเลียนแบบเหมือนร่างกายมนุษย์  ทำให้ยามีผลข้างเคียงน้อย แต่มีประสิทธิภาพสูง   ซึ่งบริษ้ท สยามไบโอฯเป็นศูนย์การวิจัยและผลิตยาแห่งเดียวในอาเซียน  ที่สามารถผลิตยาชีววัตถุได้ ในมาตรฐานระดับโลก และทำงานโดยคนไทยทั้งหมด  โดยหลังจากบริษัท วางจำหน่ายยาชีววัตถุ เพิ่มเม็ดเลือดแดง เพื่อผู้ป่วยไตวาย และยาเพิ่มเม็ดเลือดขาว เพื่อผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ต้องรับเคมีบำบัด ก็มีผลทำให้ราคายาชนิดดังกล่าว ที่แต่ก่อนนำเข้าทั้งหมด  ต้องลดราคาลงมาประมาณ 70%  เพื่อให้ราคายาเท่ากับที่บริษัทสยามไบโอฯ ออกขาย  โดยปัจจุบันยาดังกล่าวมีราคาประมาณ 300 กว่าบาท ทั้งที่แต่ก่อนประเภทนี้มีราคาสูงอยู่ที่ประมาณ 1,200-1,400 บาท ต่อการใช้ต่อสัปดาห์
” พอยาของเราออกมาวางตลาด จากงบประมาณเดิมที่เคยซื้อยาประเภทเดียวกัน  ตอนนี้สามารถซื้อได้มากกว่าเดิม 3เท่า เพราะราคายาถูกลงมาก ถือว่าเราได้พลิกโฉมหน้าวงการยาในประเทศไทย เพราะเป็นแห่งเดียวในอาเซียน ที่ผลิตยาชีววัตถุได้ ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ  ทำให้เราลดการพึ่งพายาจากต่างชาติได้ และหัวใจหลักของบริษัทฯ คือความมุ่งมั่นที่จะทำให้คนทั้งโลกมีโอกาสเข้าถึงยา และการรักษาที่มีประสิทธิภาพได้มากขึ้น  ” ดร.ทรงพลกล่าว

image_big_5e4e44cec6e0d
นวลพรรณ ล่ำซำ ผู้อำนวยการฝ่ายประชาสัมพันธ์ บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ กล่าวว่า หลายคนคงแปลกใจที่ตนมาเป็นผอ.ประชาสัมพันธ์บริษัทนี้ ได้อย่างไร จุดเริ่มต้นมาจากบริษัทฯ ซึ่งผลิตเครื่องสำอางค์ภายใต้ชื่อแบรนด์ Ardermisและ Udema       ในนามบริษัท อินโนไบไอคอสเมด จำกัด ซึ่งเป็นชีวเวชสำอาง ดูแลผิวหน้า เส้นผม และแผล ทำให้ต้องมาเยี่ยมชมโรงงานผลิตยา  จึงได้รับทราบถึงที่มาของบริษัท ฯและพระราชปณิธานของในหลวงร. 9 ที่ทรงห่วงใยสุขภาพของประชาชน และการเข้าถึงยาของประชาชน ทำให้ตัดสินใจมาทำงานด้านประชาสัมพันธ์ให้   และมองเห็นว่า ยาที่สยามไบไอฯ ผลิตนั้นเป็นการตอบโจทย์ประเทศตอบโจทย์คนทั้งโลก เพราะเป็นยาที่ต่อสู้กับโรคร้าย
“ทั่วโลกยาที่ทำจากชีววัตถุ เติบโตถึง 5เท่า เพราะคนต้องการใช้ยาชนิดนี้มาก เนื่องจากมีผลข้างเคียงน้อย ที่ผ่านมา หมอไทย นักวิทยาศาสตร์ ไม่รู้ว่าเรามีโรงงานที่สามารถผลิตยาชีววัตถุได้  และโรงงานแห่งนี้ทำให้นักวิจัย นักวิทยาศาสตร์ ที่ทำงานอยู่ในเมืองนอกกลับมาทำงานในประเทศ เหมือนกับว่าเราดึงสมองที่เคยไหล ให้กลับเข้ามา จึงอาจกล่าวได้ว่า โรงงานนี้เหมือนของขวัญจากพ่อที่มอบให้พวกเราทุกคน “นวลพรรณกล่าว

image_big_5e4e450eedeba
เป้าหมายต่อไป ของสยามไบโอไซเอนซ์ ดร.ทรงพล กล่าวว่า คือการผลิตยาฆ่าเซลล์มะเร็งแบบเแฉพาะเจาะจง หรือที่เรียกว่า Target therapy   ซึ่งให้ผลข้างเคียงน้อยกว่ายาที่เป็นเคมีบำบัดที่จะฆ่าทุกเซลล์ในร่างกาย ทั้งเซลล์ดีและเซลล์ร้าย  เป็นยาที่มีประสิทธิภาพดีกว่ายาแบบเดิม ทำให้คนไข้มีโอกาสรอด และทำให้คนรอบข้างผู้ป่วยมีความสุขมากขึ้นไปด้วย  นอกจากนี้ ยังร่วมทุนกับเยอรมัน ผลิตยาแก้ปวดชนิดเฉียบพลันรุนแรง เช่น ในคนที่ผ่าตัด ซึ่งบริษัทเยอรมันจะถ่ายทอดเทคโนโลยีให้ จะเริ่มผลิตปลายปีนี้ และวางจำหน่ายประมาณต้นปีหน้า ยาตัวนี้จะมีผลข้างเคียงต่ำ และแก้ปวดได้ดีมาก
“โรงงานของเรา ผลิตตั้งแต่ต้นน้ำ ถึงปลายน้ำ ตั้งแต่หาเชื้อแบคทีเรีย เพาะเลี้ยง ให้อาหารเลี้ยงให้อ้วน เพื่อให้แบคทีเรียนั้น สร้างโปรตีนที่เป็นยาออกมาก แตกต่างจากยาที่ทำจากสารเคมี อย่างยาพาราเซตามอล ส่วนใหญ่ทำจากสารเคมีนำเข้า แต่ยาที่ทำจากชีววัตถุจะแตกต่างออกไป เราจึงเป็นอุตสาหกรรมยาทีได้รับรองคุณภาพจาก PICS ทัดเทียมระดับโลก และมีกำลังการผลิตถึง 24 ล้านชิ้นต่อปี   หรือปริมาตร ประมาณ 50 กิโลกรัม  เช่น ยาเม็ดเลือดแดงในประเทศต้องการใช้ประมาณ 2แสนแต่เราผลิตได้  16ล้าน ขณะนี้ส่งออกได้ 5% ที่ผลิตได้ ” ดร.ทรงพลกล่าว

image_big_5e4e452291128-1
ด้านธวัชชัย พิเศษกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอเพ็กเซล่า จำกัด   ที่เป็นบริษัทในเครือของ บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ และทำการตลาดให้กับผลิตภัณฑ์ยา กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทส่งออกยาชีววัตถุไปยังประเทศ กัมพูชา เมียนมาร์ ศรีลังกา และเอเชียกลาง  และเป้าหมายต่อไป ที่จะทำตลาดในยุโรป คือ ยาเพิ่มเม็ดเลือดขาว ที่ใช้แค่เดือนละครั้ง นอกจากนี้ บริษัท ยังได้รับเลือกจากบริษัท ในสหรัฐอเมริกาให้เป็นผู้ผลิตอุปกรณ์ชุดตรวจเชื้อเอชไอวี ซึ่งก่อนที่เขาจะเลือกเรา เขาได้ไปสำรวจมา 150 บริษัท ทั่วโลกมาแล้ว นอกจากนี้ ยังมีการร่วมทุนกับบริษัทประเทศเยอมัน ในการผลิตเครื่องมือแพทย์ ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพต่างๆ แบบครบวงจร ตั้งแต่ตัวยาสำคัญและสารออกฤทธิ์ จนถึงผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป

อภิพร ภาษวัธน์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด กล่าวว่า สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เล็งเห็นว่าควรจะสานต่อพระราชปณิธานในพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทำเรื่องราวเกี่ยวกับยา เพื่อให้ประชาชนชาวไทย สามารถได้รับยาที่มีคุณภาพ และประสิทธิภาพสูง ในราคาที่ถูกลง ลดการพึ่งพาการนำเข้ายาจากต่างประเทศ สร้างความมั่นคงทางยาแก่สาธารณสุขของไทย ดูแลรักษาสุขภาพของคนไทย จึงได้ตั้งบริษัทฯดังกล่าวขึ้นเมื่อปี. 2552

image_big_5e4e45602d381
บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด ตั้งอยู่บนเนื้อที่ 37ไร่ ต.บางแม่นาง อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี ปัจจุบันมีโรงงาน 3ส่วน คือ โรงงานผลิตยาเพิ่มเม็ดเลือดแดง เพิ่มเม็ดเลือดขาว โรงบรรจุยา และโรงงานผลิตยาเพื่อสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม มีกลุ่มบริษัทในเครือประกอบด้วย บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด  บริษัทบริษัท เอเพ็กซ์เซล่า จำกัด” (Apexcela)  บริษัท อะบินิส( Abinis) และบริษัท  อินโนไบโอคอสเมด (Innobiocosmed.)

image_big_5e4e45717ee0c
นอกจากยาเพิ่มเลือดแดง ยาเพิ่มเม็ดเลือดขาว ยาฆ่าเซลล์มะเร็งแบบพุ่งเป้าแล้ว ก่อนหน้านี้ บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด เคยประกาศว่ามีเป้าหมาย ที่จะผลิตยารักษามะเร็งสมอง ยารักษาโรคภูมิแพ้ตัวเอง ยาโรคสะเก็ดเงิน ยาโรคข้ออักเสบ กระจกตาเคลื่อน ที่เป็นยาชีววัตถุทั้งหมด

image_big_5e4e44f3976bd

 

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องที่ต้องการถูกทำเครื่องหมาย *